Built-in ด้วยไม้กันชื้น HMR
ไม้กันชื้น HMR หรือ High Moisture Resistance board คือ แผ่นใยไม้อัดทนความชื้น หรือ ไม้เอ็มดีเอฟ MDF ผสมสารทนความชื้น ผลิตโดยอัดประสานด้วยกาวชนิดพิเศษ ซึ่งช่วยเพิ่มแรงต้านการขยายตัวของความหนาเมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีความชื้นสูง
ไม้กันชื้น HMR (High Moisture Resistance Board) คือวัสดุไม้แปรรูป ที่มีคุณสมบัติกันความชื้นได้ดี โดยผลิตจากไม้สับหรือเศษไม้ ที่ถูกนำมาบดละเอียดผสมกับกาวชนิดพิเศษ และสารเพิ่มความทนทานต่อความชื้น และนำมาอัดด้วยแรงดันสูงเป็นแผ่น ไม้ HMR ที่มีความทนทานและความแข็งแรงสูง เหมาะสำหรับใช้ในงานตกแต่งภายใน โดยเฉพาะในบริเวณที่มีความชื้นสูง เช่น ห้องน้ำ ห้องครัว หรือพื้นที่ที่มีโอกาสเปียกชื้น และมักนำมาใช้ในการทำตู้เสื้อผ้า ตู้ครัว หรือเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ที่เสี่ยงต่อความชื้นคุณสมบัติของไม้ HMR
กันความชื้นได้ดีผิวเรียบเนียน ทำให้เหมาะสำหรับการทำเฟอร์นิเจอร์และตกแต่งภายในทนต่อการบวมและการแตกหักเมื่อสัมผัสกับความชื้นสามารถปิดผิวด้วยวัสดุต่าง ๆ เช่น ลามิเนต หรือพ่นสีได้สามารถ เจาะ ไส ขึ้นรูป ได้สวยงามมากกว่า
ลักษณะของไม้ HMR จะมีสีเขียว เนื่องจากสารเคมีที่ใช้ในการป้องกันความชื้นถูกผสมลงไปในเนื้อไม้ อาจจะมีเนื้อสีเขียวที่แตกต่างกันบ้างเมื่อโดนแสงแดด แต่ไม่มีผลต่อการใช้งาน หรือคุณสมบัติการทนความชื้น
มาตรฐานการทดสอบของไม้ HMR
การทดสอบวัสดุไม้ HMR ตามมาตรฐานสากล เช่น มาตรฐาน EN (European Norm) หรือ ASTM (American Society for Testing and Materials)
การทดสอบการดูดซึมน้ำ (Water Absorption Test) การทดสอบความสามารถของไม้ในการดูดซึมน้ำ โดยทั่วไปจะมีการวัดการเพิ่มของน้ำหนักหรือขนาดของไม้หลังจากแช่น้ำ ค่าเฉลี่ยการดูดซึมน้ำจะอยู่ประมาณ 8-12% (ขึ้นอยู่กับคุณภาพของ HMR)การทดสอบการขยายตัวในความหนา (Thickness Swelling Test) การทดสอบการขยายตัวของไม้ HMR เมื่อแช่ในน้ำ ระยะเวลา 24 ชั่วโมง โดยทั่วไปการขยายตัวไม่ควรเกิน 8-10% ตามมาตรฐาน EN 317การทดสอบความแข็งแรงเชิงกล (Mechanical Strength Test) การทดสอบความแข็งแรงในการรับแรงดึงและแรงกดของไม้ HMR ค่าความต้านทานแรงดึงตามมาตรฐาน EN 319 และ EN 310 ควรอยู่ที่ประมาณ 0.45 N/mm² หรือมากกว่า ขึ้นอยู่กับสเปคของผลิตภัณฑ์
ไม้ HMR มีขนาดใหญ่และสูง จึงเหมาะสำหรับใช้กับงานบิ้วท์อิน ที่นิยมทำให้สูงชนเพดานห้อง หรืองานดีไซน์ในรูปแบบอื่นๆ ที่ต้องการใช้ไม้ที่มีขนาดยาวพิเศษโดยไม่มีรอยต่อ
การใช้งาน ไม้ HMR (High Moisture Resistance Board)
1. เลือกใช้ในพื้นที่ที่เหมาะสม
ไม้ HMR เหมาะสำหรับการใช้งานในพื้นที่ที่มีความชื้นสูง เช่น ห้องครัว ห้องน้ำ หรือพื้นที่ที่อาจต้องสัมผัสกับน้ำบ่อย ๆ แต่หากนำไปใช้งานภายนอกอาคาร ควรมีการเคลือบผิวหรือป้องกันเพิ่มเติม เนื่องจากไม้ HMR ถูกออกแบบมาสำหรับใช้งานภายในเป็นหลัก2. การเคลือบผิวเพื่อเพิ่มความทนทาน
ไม้ HMR มีคุณสมบัติกันความชื้น แต่การเคลือบผิวด้วยลามิเนตหรือการพ่นสียังเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อเพิ่มความทนทาน ป้องกันการเกิดรอยขีดข่วน หรือป้องกันน้ำซึมเข้าสู่ภายในไม้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ขอบของไม้ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการดูดซึมของน้ำ3. ติดตั้งในบริเวณที่ระบายอากาศได้ดี
การติดตั้งในพื้นที่ที่สามารถระบายอากาศได้ดี จะช่วยลดการสะสมของความชื้น และช่วยยืดอายุการใช้งานของวัสดุ นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันการเกิดเชื้อราหรือแบคทีเรียที่อาจเกิดขึ้นในสภาพแวดล้อมที่มีความชื้นสูง4. การตัดและการประกอบ
ควรใช้อุปกรณ์ที่มีความคมในการตัดไม้ HMR เพื่อให้ได้ขอบที่เรียบเนียน หากขอบไม้ไม่เรียบ ควรทำการขัดแต่งและเคลือบขอบไม้ด้วยสีหรือกาวกันน้ำเพื่อป้องกันการซึมซับน้ำในการประกอบชิ้นงาน ควรใช้กาวกันน้ำหรือวัสดุยึดที่ทนทานต่อความชื้น เพื่อให้ไม้คงทนและป้องกันการแยกชิ้นส่วนจากการสัมผัสความชื้น
5. การบำรุงรักษา
ควรหมั่นทำความสะอาดพื้นผิวไม้ HMR เป็นประจำ โดยใช้ผ้าแห้งหรือผ้าหมาดเพื่อป้องกันการสะสมของฝุ่นและความชื้น ไม่ควรใช้ผ้าที่เปียกในการเช็ดทำความสะอาดตรวจสอบสภาพของขอบไม้และการเคลือบผิวเป็นประจำ หากพบว่ามีการลอกหรือเกิดความเสียหาย ควรทำการซ่อมแซมทันทีเพื่อป้องกันความชื้นซึมเข้าสู่ภายใน
6. หลีกเลี่ยงการสัมผัสน้ำโดยตรงเป็นเวลานาน
ไม่ควรปล่อยให้น้ำสัมผัสกับผิวไม้โดยตรงเป็นเวลานาน โดยเฉพาะบริเวณขอบและรอยต่อ ควรเช็ดน้ำให้แห้งในทันทีหากมีการสัมผัสน้ำ เพื่อรักษาคุณภาพของไม้7. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญในการเลือกผลิตภัณฑ์
ไม้ HMR มีหลายเกรดและความหนาที่หลากหลาย ควรเลือกวัสดุที่มีคุณภาพเหมาะสมกับลักษณะงาน เช่น งานทำตู้ครัวบิวต์อินควรเลือกไม้ที่มีความหนาและทนทานพิเศษ การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านวัสดุจะช่วยให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม
สรุป
ไม้ HMR เป็นวัสดุที่มีคุณสมบัติในการกันชื้น และเหมาะสำหรับงานตกแต่งภายใน ในพื้นที่ที่มีความชื้นสูง อย่างไรก็ตาม ควรมีการป้องกันเพิ่มเติมด้วยการเคลือบผิวและการติดตั้งในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ร่วมกับการบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอ